รีวิว The Blue Sky Resort Khao Kho

รีวิว เดอะบูลสกาย รีสอร์ท เขาค้อ

“สวิสแลนด์” เพื่อนๆเคยไปกันมั้ยคร้าบบบบบ สำหรับผมแล้วก็ยังไม่เคยไปหรอกครับ ไปไกลสุดในชีวิตนี้ก็ญี่ปุ่นนี่แหละครับ คนที่ไปมาแล้ว ใครๆก็ว่า “สวิสแลนด์” สวย อากาศดี น่าอยู่ น่าไป น่า บลาๆๆๆๆ (เชื่อตายเลย เริ่มนอย ไม่เคยไป 55555) ตรวจดูเงินในเป๋าตังแห้งๆแล้ว คิดว่า  สวิสแลนด์ไม่น่าจะใช่เป้าหมายของผมในปีนี้  เอาเป็นว่าผมขอไปเยือน “สวิสแลนด์เมืองไทย” ก่อนล่ะกัน จากคำให้การของเพื่อนๆที่ถ่อกันไปถึงเมืองนอก เมืองนาก็บอกว่า เพชรบูรณ์ บ้านเรา ก็สวยและบรรยากาศไม่แพ้ที่โน่นเช่นกัน งั้น มาครับ มากับผมวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆมาสัมผัสกับรีสอร์ทท่ามกลางสายหมอกและขุนเขากัน

เพื่อให้ได้อรรถรสในการชมไดอารี่หน้านี้ ได้โปรดเปิดเพลงนี้คลอไปด้วยขณะชม

บูลสกาย เขาค้อ รีสอร์ทขนาดเล็กที่รับได้แรงบรรดาลใจ มาจาก หมู่บ้านชนบทเล็กๆในประเทศอังกฤษ ฟีลลิ่งของที่นี่ คือหมู่บ้านสไตล์อิงลิชคันทรี่ที่ถูกห้อมล้อมด้วย ขุนเขา สายหมอก และ สวนดอกไม้

ด้วยความที่อยากให้เป็น หมู่บ้านขนาดเล็ก ห้องพักที่นี่จึงมีเพียงแค่ 28 ห้องเท่านั้น

รูปแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากหมูบ้านชนบทจริงๆ โดยรวมค่อนข้างประทับใจในจุดนี้นะครับ ส่วนแรกที่จะพาเพื่อนๆมาสัมผัสคือ ลอบบี้ส่วนกลางและร้านขายของที่ระทึก

การตกแต่งเน้นสีขาวสบายตาเป็นหลัก ของตกแต่งเป็นสไตล์วินเทจหวานๆใสๆขาวๆ ชอบจัง ลอบบี้ส่วนกลางเป็นแบบเปิดรับลมธรรมชาติไม่มีแอร์นะครับ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศอิงลิชคันทรี่จริงๆ

ร้านขายของที่ระทึก ตกแต่งได้น่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตาเลยล่ะครับ ใครชอบอะไรหวานๆสไตล์วินเทจ หรือชอบถ่ายรูป ผมเชื่อว่าคุณจะหลงรักที่นี่ต้องแต่ก้าวแรกที่เหยียบลอบบี้เลยครับ

ด้านหน้าของลอบบี้จะเป็นสวนดอกไม้สวยหวานแบบนี้ เหมาะกับการนั่งจิบน้ำชาเบาๆยามบ่ายจริงๆ

เราก้าวออกจากลอบบี้เข้าสู่ตัวรีสอร์ทกันดีกว่า หมู่บ้านเล็กๆสไตล์อังกฤษในหุบเขาและสายหมอก กำลังรอเราอยู่ครับ

เมื่อมองกลับไปยังลอบบี้ผ่านจากสวนสวยสไตล์อังกฤษ บรรยากาศชิลล์มากๆครับ

มุมนี้สำหรับผมแล้วถือเป็นไฮไลท์ หรือมุมซิกเนเจอร์เลยก็ว่าได้ครับ งดงาม เหมือนภาพในฝันจริงๆ

พื้นที่ส่วนกลางของรีสอร์ทไม่ได้มีมากมาย ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่โดยรวมผมว่าค่อนข้างลงตัวทีเดียว

มีหลายจุดหลายมุมของรีสอร์ทแห่งนี้ที่เหมาะกับการมาถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่น ถ่ายฟรีเวดดิ้งมากๆๆ

ดอกหญ้าริมทางที่ ที่นี่เลือกนำมาใช้ตกแต่ง ต้องการให้แขกที่มาเข้าพักรู้สึกเหมือนกำลังเดินในหมู่บ้านชนบทจริงๆ

อาคารที่พักถูกวางแบ่งเป็นสามหลังไล่เรียงกันไป ไม่ทำเป็นแนวยาวทีเดียว เพราะต้องการให้รู้สึกถึงความเป็นหมู่บ้าน

เอาล่ะครับผมขอพาเพื่อนๆไปชมบรรยากาศในห้องพักกันนะครับดีกว่า ห้องพักจะมีเพียงแค่สองแบบ
ห้องพักสำหรับสองคน วางคอนเซ็ปเป็นสีขาวฟ้าสวยหวาน ตกแต่งสไตล์วินเทจสวยหวาน

ห้องมีขนาดใหญ่พอประมาณเลยครับ อยู่สามคนสบายๆ

ห้องน้ำอาจดูไม่มีอะไรมาก แต่ทุกอย่างยังถูกคุมโทนสวยหวานและไม่หลุดคอนเซ็ปกับธีมอิงลิชคันทรี่

จุดขายหลักของห้องพักชั้นล่างห้องหัวมุมคือ ระเบียงที่กว้างขวางและวิวภูเขาแบบเต็มๆ

ด้านข้างระเบียงห้องนี้ ปลูกทุ่งดอกบูลซิลเวียไว้ด้วยครับ งดงามชวนฝันฟรุ่งฟริ้งมากกก

และจุดนี้แหละครับ ผมว่าเป็นจุดที่เหมาะกับการทาน ขนมและน้ำชาชามบ่ายที่สุด (เซ็ตอาฟเตอร์นูนทีที่นี่ราคาประมาณ 300 บาทเองครับ ไม่ได้รุนแรงแต่บรรยากาศฟินเวอร์ๆ)

ส่วนห้องพักแบบแฟมมิลี่สำหรับสี่คน ห้องพักจะอยู่ที่ชั้นสอง ธีมการตกแต่งห้องจะเหมือนกันครับ แต่สีของห้องพักจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สวยหวานทีเดียว

สำหรับผมแล้วผมค่อนข้างชอบห้องสีนี้มากกว่าห้องสีฟ้านะครับ ห้องจะมีขนาดเท่ากับห้องชั้นล่าง แต่จะมีชั้นลอยสำหรับแขกที่มาพักเพิ่มอีกสองคน

ชั้นลอยก็เป็นห้องใต้หลังคาเล็กๆ ฟีลลิ่งเหมือนบ้านสไตล์อังกฤษที่มีห้องใต้หลังคาครับ

ห้องน้ำ เหมือนกันเลยครับ กับห้องชั้นล่าง แค่คนล่ะสี โดยรวมห้องพักทั้งสองห้องเรียกได้ว่าเหมือนกันเลยครับแค่เปลี่ยนธีมสี กับเพิ่มห้องใต้หลังคาขึ้นมาเท่านั้น

ส่วนระเบียง จะประมาณนี้ ใครชอบระเบียงกว้างๆ ต้องพักห้องชั้นหนึ่ง และห้องมุมเท่านั้นครับ

เราไปดูร้านอาหารร้านเดียวที่มีของที่นี่กันครับ

เช้า สาย บ่าย ค่ำ เราสามารถหาทานอาหารได้ที่นี่แหละครับ

การตกแต่งยังคงเป็นสไตล์อิงลิชคันทรี่เช่นเดิม ขาวๆหวานๆ เพดานสูงโปร่ง การตกแต่งอาจแอบโล่งไปนิด แต่โดยรวมบรรยากาศดีทีเดียวครับ

ห้องอาหารที่นี่ไม่มีแอร์นะครับ เพราะต้องการให้แขกที่มาพักสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติจริงๆ

ผมแอบชอบบรรยากาศกลางวันมากกว่า ฟรุ้งฟริ้ง ชวนฝันมากกกก บางทีก็ลืมไปว่าเรายังอยู่ในเมืองไทยนะ 55555

ไฮไลท์สำหรับห้องอาหารนี้สำหรับผมคือที่ระเบียงนี้ครับ กลางคืนอาจไม่ค่อยเท่าไหร่

แต่ช่วงเช้าๆ สายๆ บ่ายๆ เย็นๆ งดงามหาที่ติไม่ได้จริงๆ ถ้าได้มาช่วงหนาวๆคงฟินน่าดูเลยเนอะ

ชมภาพกันไปไม่มีคำบรรยายครับ ฟินแท้

กาแฟร้อนๆสักแก้วกับสายลมหนาว และขุนเขา แบบนี้ เฮ้อออออออออออ นี่หรือเมืองไทย ใช่หรือเมืองพุทธ นี่ผมไม่ได้อยู่สวิสแลนด์จริงๆใช่มั้ย

สำหรับอาหารเช้าที่นี่สั่งเป็นเมนูครับ มีทั้งแบบ อิงลิชเบรคฟัส และ ข้าวต้มร้อนๆแบบอาหารไทยท้าลมหนาว

ปิดท้ายยามเย็นเมื่ออาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้ากับบรรยากาศที่นี่ก็ยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับอาหารมื้ออื่นๆ ผมแนะนำไม่ต้องออกไปหาทานข้างนอกครับ ทานในนี้ได้เลย ราคาไม่ได้แพงมากแถมแม่ครัวฝีมือดีมากครับ เท่าที่ลองมาหลายๆเมนู อร่อยแทบทุกอย่างนะครับ แต่สเต็กชิ้นบางไปหน่อยเท่านั้น เมนูที่ผมค่อนข้างปลื้มก็จะมี พิซซ่าหน้ากระเพรา สลัดบูลสกาย ยำฟักแม้วทอดกรอบ ยำปลาทับทิมฟู โรตีแกงหมู และกระเพราเนื้อราดข้าว แนะนำเลยครับใครมาที่นี่สั่งได้เลยครับ ฟินนนน




ปิดท้ายรีวิววิวนี้กับวิวจากเนินเขาด้านหลังโรงแรม(เดินไปได้)ที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่งดงาม พนักงานที่นี่คอนเฟิร์มว่า ถ้าวันไหนฝนตกตอนเย็นๆ หรือค่ำๆ เช้ามาเราจะพบทะเลหมอกจากจุดนี้เลยครับไม่ต้องออกไปไหนไกลเลย เสียดายช่วงที่ผมไป วาสนามีน้อยเลยไม่เจออ่ะ

สรุปปิดท้ายกันสักนิด

บูลสกาย เขาค้อ คือหนึ่งในคอลเล็คชั่นของบูลสกายรีสอร์ท โดยที่นี่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นหมู่บ้านชนบทเล็กๆสไตล์อังกฤษที่อยู่ทามกลางหุบเขาและสายหมอก โดยรวมผมค่อนข้างประทับใจที่นี่นะครับ รักษาคอนเซ็ปการตกแต่งไม่มีหลุดไปเลยในทุกจุด อาจมีการจัดพร๊อบหลวมไปบ้างในบางจุดเท่านั้น แต่ก็ถือว่ายังโอเคอยู่ เรื่องวิวหุบเขา คงต้องยอมรับ ทางรีสอร์ทหาที่ได้ดีจริงๆ วิวสวยมากครับ เสียได้ไม่ได้เห็นทะเลหมอกจากที่นี่ ในเรื่องห้องพัก ห้องขนาดกำลังพอดี อยู่สบาย (อาจมีแมลงรบกวนบ้างนิดๆหน่อยๆ) ตกแต่งสวยหวานกันไปเหมาะกับการมาพักแบบคู่รักคู่ฮันนีมูนมากๆๆ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรมาเยือนที่นี่คือช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือ ช่วงพีคของหน้าหนาว

เกร็ดเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่จะมาเที่ยวเขาค้อ

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วถือเป็นอีกหนึงไฮไลท์ที่คนมาเยือนเขาค้อไม่ควรที่จะพลาด
เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกัน7 ชั้น เพื่อถวายแด่องค์พระพุทธเจ้า สีสันที่สดใสของเจดีย์ เกิดจากการนำกระเบื้องสีถ้วยชามเบญจรงค์ มุกลูกปัด แก้ว แหวนเงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน มาประดับประดาตกแต่ง เป็นลวดลายที่สวยงาม (สอบถามเส้นทางไปกับพนักงานที่โรงแรมได้ครับ)

Route 12 คือ จุดพักรถ พักทานอาหาร ทานกาแฟ มีร้านเก๋ๆให้นั่งพักกับบรรยากาศชิลล์สบายๆ เป็นอีกที่นึงที่ไม่ควรพลาดที่จะมาแชะๆๆรูปเมื่อมาเยือนเขาค้อ (สอบถามเส้นทางไปกับพนักงานที่โรงแรมได้ครับ)

โมอายคอฟฟี่ จุดพักทานกาแฟ จุดพักทานกาแฟก่อนเข้าตัวเมืองเขาค้อ แนะนำร้านนี้ครับ ไม่ได้แนะนำว่ากาแฟอร่อยนะ (เพราะงั้นๆมากแถมแพงอีกต่างหาก) แต่แนะนำว่า วิวของร้านสวยมากกกกกกกกกก เป็นอีกจุดที่น่าแวะถ่ายภาพครับ

ส่วนใครจะเข้าพักบูล สกาย เขาค้อ ผมแนะนำให้แวะ 7-11 ที่ตัวเมืองก่อนดีที่สุดครับ เพราะรีสอร์ทรีสอร์ทค่อนข้างไกล 7-11 พอควรเลยล่ะครับ เข้าไปแล้วออกมาไม่ค่อยจะคุ้มนะ แวะก่อนดีที่สุดครับ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ Thai Rent A Car ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ TBA  จากที่ลองสัมผัสมา ขอบอกว่ารถเช่าเจ้านี้ค่อนข้างน่ารัก และเอาใจใส่ลูกค้าพอสมควร ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งก่อน ระหว่างใช้ และ หลังจากใช้บริการเลยครับ ประทับใจน่ารักมากกก

Leave a Reply