“Return To The Elegance” หรือ การเดินทางย้อนกลับสู่ความงดงามแห่งอดีต คำนิยามคมบาดหูของโรงแรมแห่งนี้ และผมเชื่อว่ามันก็ไม่ได้เป็นเพียงคำคมเท่านั้น เพราะที่นี่ โรงแรมที่ชื่อ “ปิงนครา”ทำให้ผมรู้สึกว่า ความงดงามแห่งอดีตในยุคทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์กับศิลปะสไตล์โคโรเนียลที่มีกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมล้านนา ยังไม่เคยเลือนลาง และ จางหาย ไปจากนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่…แห่งนี้เลย มาครับ มากับผม นายพัก…สบาย ผมจะพาเพื่อนๆไปสัมผัสความงดงามแห่งอดีตที่มาบรรจบกับปัจจุบัน ณ ที่แห่งนี้ “ปิงนครา”
เพื่อให้ได้อรรถรสในการชมไดอารี่หน้านี้ ขออัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่เก้า “ใกล้รุ่ง”มาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เมื่อความงดงามอ่อนหวานแห่งศิลปะวัฒนธรรมตะวันตกมาพบกับศิลปะอันวิจิตรอ่อนช้อยจากงานไม้ฉลุในแบบฉบับล้านนา ก็เกิดความลงตัวที่งดงามแห่งงานสถาปัตยกรรมขึ้น และนี่แหละครับคือผลึกแห่งแรงบรรดาลใจของโรงแรมแห่งนี้ ที่อยากจะรักษาความงดงามแห่งอดีตให้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันและส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต
รูปแบบภายนอกอาคารของโรงแรมแห่งนี้ เป็นอาคารสีขาวสไตล์โคโรเนียลที่มีกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมล้านนา ในความรู้สึกผม ผมชอบที่โรงแรมนี้เลือกที่จะใช้สีขาวและกระจกมาการเติมแต่งโรงแรมแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวา เพราะสีขาวทำให้ที่นี่ดูสว่าง สดใสขึ้น ทำให้ดูหวาน ชวนฝัน และทำให้ดูไม่น่ากลัวถึงแม้จะเป็นอาคารในรูปแบบสมัยก่อน
ที่นี่มีห้องพักเพียงแค่ 19 ห้องเท่านั้นครับ ถือเป็นโรงแรมที่มีห้องพักน้อยมาก ฟีลลิ่งของโรงแรมจึงไม่เหมือนกับโรงแรมอื่นๆสักเท่าไหร่ กลับให้ฟีลลิ่งของการมาพักกับบ้านญาติผู้ใหญ่เสียมากกว่าจะมาพักที่โรงแรม
รถรับส่งแขกที่มาพักของที่นี่ก็เป็นรถเบนซ์รุ่นเก่า เพื่อให้แขกที่มาพักสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนว่าแขกแก้วได้เดินทางกลับสู่ความงดงามแห่งอดีตตั้งแต่ก้าวออกจากสนามบินเชียงใหม่กันเลยก็ว่าได้
ที่หน้าโรงแรมก็จะมีรถสามล้อถีบของจริงโชว์ไว้ด้วย (ถีบได้จริงๆนะ) ที่มีรถสามล้อถีบตั้งอยู่ตรงนี้ เพราะทางโรงแรมต้องให้แขกรับรู้ได้ถึงว่าในยุคสมัยนั้น สามล้อถีบถือเป็นพาหนะที่ประชาชนทั่วไปนิยมใช้กัน
เอาล่ะครับ เราเข้าไปข้างในกันก่อนดีกว่า เมื่อเข้ามาจะพบกัน ลอบบี้สีขาวเพดานสูงโปร่ง ตกแต่งด้วยงานไม้ฉลุงดงามสไตล์ล้านนา กับเชนดาเลียคริสตัลในแบบสมัยก่อน
จุดเด่นของลอบบี้แห่งนี้ คือภาพเขียนฝาผนังสีสดใส ที่เป็นตัวแทนของตุง 12 นักษัตร (ตุง คือธงสัญลักษณ์แห่งศิริมงคลของชาวล้านนา) บนยอดตุงคือพระธาตุดอยสุเทพ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
ภายในลอบบี้แห่งนี้เป็นห้องปรับอากาศครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเมืองไทยคือเมืองร้อน ทางโรงแรมจึงอยากให้แขกแก้วรู้สึกสดชื่น ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาที่ตัวอาคารกันเลยครับ
ตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ที่นี้ต้อนรับแขกแก้วด้วยน้ำตะไคร้ใบเตยหอมเย็นๆชื่นใจ น้ำสมุนไพรแบบไทยๆ กับช่อดอกเตยหอม และผ้าเย็นคลายร้อนในแบบที่เราชาวไทยคุ้นเคย
สำหรับแขกแก้วที่มาเยือน และ สนใจในงานสถาปัตยกรรมสไตล์โคโรเนียลที่มีกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมล้านนา ทางโรงแรมก็มีแผนที่ อาคารอาคารสวยๆ ตามจุดต่างๆในเมืองเชียงใหม่ที่น่าสนใจ มอบให้แขกแก้วด้วยครับ
จุดนี้คือเรือนรับรองแขกแก้ว เป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยม เพดานสูง อยู่ติดกับลอบบี้ ในความคิดผม ห้องนี้ไม่ได้ดูใหญ่โตเลย แถมไม่ได้มีของตกแต่งอะไรมากมาย แต่ห้องนี้ให้ความรู้สึกที่ สงบ สบายๆ ผ่อนคลายและไม่อึดอัด ยิ่งช่วงยามเย็นก่อนอาทิตย์อัสดง แดดอ่อนๆยามบ่ายแก่ๆ ส่องเข้ามากระทบโซฟาผ้าสีนวลตาที่ห้องนี้ ขอบอกว่างดงามเกินบรรยายเลยครับ
ถัดจากเรือนรับรองมา คือ ห้องสมุดและบาร์ ที่นี่เป็นห้องสมุดขนาดเล็ก แต่ไม่อึดอัดนะครับ สำหรับผมแล้ว ถ้าจะให้ผมอธิบายความรู้สึกของห้องนี้ ผมว่าห้องนี้เปรียบเหมือนห้องนั่งเล่นที่เพื่อนๆจะมาสังสรรกันอ่ะครับ มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ฟรีที่จุดนี้ มีผลไม้ใส่ตะกร้าให้แขกแก้วหยิบทานได้ตลอดเวลา มีบาร์เล็กๆมีที่อยู่ในมุมห้องสมุด ทำให้ห้องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งเล่นในบ้านจริงๆ
สำหรับสิ่งพิเศษ ที่ผมประทับใจห้องนี้อยู่ที่บาร์ครับ เพราะให้ความรู้สึกนี่คือบ้านจริงๆ เวลาเราไปเยี่ยมเยือนญาติผู้ใหญ่บ้านไหน ก็มักจะมีขนมมาต้อนรับเราเสมอ และที่นี่ก็มีเตรียมไว้ต้อนรับแขกแก้วทุกคนเช่นกัน ขนมสองโหลนี้ หยิบทานฟรีได้ตลอดเวลาครับ ถึงแม้จะไม่ได้สั่งเครื่องดื่มอะไร ก็หยิบทานได้ตลอด ขนมในโหล่ก็จะเป็นขนมที่ชาวไทยเราคุ้นเคยกันอย่างดี โหลนึงคือข้าวแต๋น อีกโหลคือ เผือกเส้นทอด ขนมสองอย่างนี้แหละยิ่งทำให้ผมรู้สึกประทับใจที่โรงแรมเลือกรักษาความงดงามแบบไทยได้อย่างลงตัว
บรรยากาศระเบียงด้านนอกของห้องสมุดยามแดดบ่ายแก่ๆ งดงามจริงๆครับ
ถัดจากห้องสมุดมา มุมนี้คือมุมนั่งเล่น บรรยากาศโอเพ่นแอร์ สำหรับบ้านชาวไทยเรา ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัย เรื่องระเบียงบ้านแบบเปิดรับลมธรรมชาติเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเราชาวไทยมานาน และที่นี่ก็ไม่พลาดในเรื่องนี้ ความรู้สึกของที่นี่ คือระเบียงบ้านขนาดใหญ่ที่แขกแก้วจะออกมานั่งเล่น นอนเล่นสูดอากาศบริสุทธิได้ชุ่มปอด
เฟอนิเจอร์ที่ใช้เลือกเป็น เฟอร์นิเจอร์ไม้ หวาย และเบาะผ้าเป็นหลัก แถมด้วยกระเบื้องโบราณพื้นลายดอกกุหลาบ ทำให้ความรู้สึกของบริเวณระเบียงแห่งนี้ ดูอบอุ่น และดูงดงามราวกับภาพอดีตกลับมาซ้อนทับกับในยุคปัจจุบัน
ของตกแต่งทุกชิ้น ไม่มีหลุดไปจากที่มันควรจะเป็นเลยครับ ภาพด้านหลังคือ แผนที่นพบุรีศรีนครพิงค์เมื่อครั้งเก่าก่อน
ที่ระเบียงแห่งนี้ จะมีน้ำดื่มเย็นๆชื่นใจใสโหลแก้วให้แขกแก้วได้ดื่มดับกระหายคลายร้อนด้วยครับ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ น้ำท่าต้องเตรียมพร้อม นี่แหละครับคือเสน่ห์แห่งความเป็นไทยที่น่าหลงไหล ประทับใจในส่วนเล็กๆตามจุดต่างๆของที่นี่จริงๆ เรียกว่าใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยก็ไม่ให้พลาด
ไฮไลของระเบียงแห่งนี้คงจะหนีสระว่ายน้ำสีเขียวครามที่อยู่หลังม่านต้นกกไปไม่ได้
เอาล่ะครับผมขอพาเพื่อนๆชมบรรยากาศโดยรอบของสระว่ายน้ำสีเขียวครามกันสักนิดดีกว่า
สำหรับผมแล้ว สระว่ายน้ำที่นี่ไม่ใช่สระว่ายน้ำที่สวย อลัง จนต้องร้องว้าววว!!!
แต่บรรยากาศโดยรวมรอบๆสระว่ายน้ำแห่งนี้ มันงดงาม ชวนฝัน
ประหนึ่ง ทำให้เรารู้สึกว่า เรากำลังว่ายน้ำอยู่ใน พระราชวังสีขาวที่อยู่ในความฝันสักแห่ง เฮ้ออ… ฟินนนนนแต้ๆ เน้ออออออ
สำหรับช่วงที่งดงามที่สุดของสระว่ายน้ำแห่งนี้ สำหรับผมแล้วคือช่วงเวลาประมาณ 8-9 โมงเช้าครับ แดดอ่อน ยามเช้า ส่องผ่านแมกไม้ สร้างแสงเงาชวนฝันได้อย่าน่าประหลาดจริงๆ
เอาล่ะครับเราออกจากบริเวณสระว่ายน้ำกันดีกว่า จุดนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปชมไฮไลท์ ของที่นี่กัน… ถูกแล้วครับ ผมจะพาเพื่อนๆไปเจาะรายละเอียดกับศิลปะอันวิจิตรอ่อนช้อยจากงานไม้ฉลุในแบบฉบับล้านนา
ความงดงามอ่อนช้อยแบบนี้ คือ ศิลปะความงามในแบบฉบับของล้านนาขนานแท้ บอกตรงๆเลยครับ ว่าค่อนข้างทึ่งกับความงดงามและการเก็บละเอียดในการตกแต่งของโรงแรมแห่งนี้
ทำให้ผมรู้สึกได้จริงๆว่า โรงแรมแห่งนี้ต้องการปลุกความงดงามแห่งอดีตของชีวิตศิลปกรรมโคโรเนียลในแบบฉบับล้านนาให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งจริงๆ
จะเห็นได้จากทุกจุด ที่นี่ไม่ได้ทำขึ้นมาแค่เเพียงฉาบฉวย หรือตกแต่งแต่ให้พอมีสีสัน หรือให้มีกลิ่นอายเล็กๆน้อยๆ แต่ที่นี่เลือกที่จะทำจริงจังและจัดเต็มครับ สำหรับผมแล้วที่นี่แล้วต่างจากอาคารศิลปกรรมโคโรเนียลในที่อื่นๆตรงที่ ที่นี่ดูมีชีวิตจริงๆ ไม่น่ากลัว เมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆในแนวนี้
เอาล่ะครับ ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปดูห้องพักกันแล้วครับ ห้องพักที่นี่ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากดอกไม้หอมของเมืองไทยในการตกแต่งห้อง เดินตามผมมาเลยครับ
นี่คือห้องที่หวานที่สุดของที่นี่ครับ ห้องนี้เลือกใช้ดอกไม้ตัวแทนแห่งความรักมาเป็นแรงบรรดาลใจในการแต่งห้อง “ห้องกุหลาบ” ห้องนี้คือตัวแทนของวันอังคารสีชมพู การตกแต่งภายในห้อง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไม่มีหลุดคอนเซ็ปเลยครับ ประหนึ่งเป็นห้องๆหนึ่งในวังจุฑาเทพก็ไม่ปาน
ห้องนี้คือตัวแทนของดอกช่อม่วง หรือพวงคราม ดอกไม้งามตัวแทนสำหรับคนเกิดวันเสาร์ โทนสีของห้องนี้จึงออกมาในโทนสีม่วงหวาน การตกแต่งห้องพักที่นี่ในทุกห้อง ค่อนข้างจะเหมือนๆกันในทุกห้อง แต่ที่ต่างไปคือ อารมณ์และโทนสีภายในห้องพัก
ห้องนี้คือตัวแทนของ ดอกสุพรรณิการ์ หรือ ดอกฝ้ายคำ (ดอกฝ้ายสีทอง) ดอกไม้ตัวแทนคนเกิดวันจันทร์ สีเหลืองสดใส ใครที่ชอบห้องทีมีขนาดใหญ่สักนิดน่าจะหลงรักห้องนี้ได้ไม่ยาก เพราะขนาดพื้นที่สอยรู้สึกค่อนข้างจะใหญ่กว่าห้องอื่นๆอยู่พอประมาณ
ส่วนนี่คือห้องที่ผมเข้าพัก ห้องนี้คือตัวแทนของดอกมณฑา ดอกมณฑาทิพย์คือดอกไม้จากสวรรค์ คนไทยโบราณเชื่อกันว่า บ้านใดปลูกไว้ บ้านนั้นจะมีเทวดาปกปักษ์รักษาและเป็นศิริมงคลกับตนเองและครอบครัว
การตกแต่งในห้องต่างๆไม่หนีจากสามห้องที่แล้วสักเท่าไหร่นัก
โทนสีห้องนี้ถูกคุมอยู่ในโทนสีขาวอมเทาเขียว
ห้องแต่ล่ะห้องจะจัดวางพื้นที่ใช้สอยต่างกันไป แต่สิ่งที่แปลกสำหรับที่นี่คือ ทุกห้องเปิดประตูเข้ามาจะเจอห้องน้ำก่อนทุกห้อง ผมเชื่อว่าน่าจะมาจากวัฒนธรรมไทยแต่โบราณที่คนไทยเราจะขึ้นเรือน ต้องล้างหน้า ล้างเท้าเสียก่อน ถึงจะขึ้นเรื่อนได้ ทางโรงแรมจึงนำห้องน้ำมาไว้อยู่ในส่วนด้านหน้าของห้องพัก
และห้องนี้จุดที่ค่อนข้างต่างจากห้องอื่นเลย สำหรับผมคือ ห้องน้ำครับ ห้องน้ำห้องนี้อ่างเป็นอ่างน้ำวน แถมการจัดวางผังห้องน้ำได้ค่อนข้างสวยกว่าห้องอื่นๆ ดู สวย หวาน แอบนำสมัยไม่เบาทีเดียว
ผลิตภัณฑ์อาบน้ำของที่นี่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ นคราสปาทั้งหมดครับ สำหรับผมแล้วค่อนข้างประทับใจในจุดนี้นะครับ สัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ ตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ เมื่อแขกแก้วมาเยือนเมื่อใด เจ้าบ้านบ้านไหนๆก็จะเตรียมของที่ดีที่สุดที่จะหาได้มาต้อนรับเสมอ
บรรยากาศโต๊ะทำงาน กับ ตะเกียงน้ำมันหอมกลิ่นตะไคร้ อันนี้ตามธรรมดาทางโรงแรมจะไม่ได้จุดเตรียมไว้ให้นะครับเนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าแขกแก้วบางท่านแพ้กลิ่นฉุน ส่วนสำหรับแขกแก้วท่านใดที่ต้องการ ทางโรงแรมก็จัดเตรียมไว้ให้ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
แม้แต่ในห้องพัก ทางโรงแรมก็จัดเตรียมขนมนมเนยไว้ต้อนรับแขกแก้วที่เข้าพัก ที่เห็นทั้งหมดนี้คือสิ่งที่โรงแรมเตรียมไว้ให้และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ โดยขนมและเครื่องดื่มจะถูกแบ่งเป็นสองประเภท
1.ขนมและเครื่องดื่มแบบไทย ก็จะมี ข้าวแต๋น ทองม้วน ถั่วกรอบแก้ว ทอฟฟี่กะทิ และเครื่องดื่มผลิตภัณฑ์ดอยคำ ทางโรงแรมต้องการให้แขกแก้วชาวต่างชาติ และแขกแก้วชาวไทยได้ลองลิ้มรสดูบ้างว่าขนมไทยอร่อยๆแบบในสมัยเก่าก่อนที่ชาวไทยนิยมทานกันมีอะไรบ้าง
2.ขนมและเครื่องดื่มแบบสากล ก็ต้องยอมรับว่าถ้าจัดขนมไทยไว้อย่างเดียว บางทีแขกแก้วบางคนอาจไม่ปลื้มก็ได้ ทางโรงแรมจึงเตรียมขนมและเครื่องดื่มที่เป็นแบบสากลไว้ให้แขกแก้วทุกท่านด้วย
เห็นมั้ยครับ ที่นี่เก็บทุกรายละเอียดจริงๆ ไม่ประทับใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ปิดท้ายด้วยระเบียงจากในห้องพัก จากที่เคยบอกไปแล้ว บ้านชาวไทยแต่เก่าก่อน ในทุกบ้านต้องมีเรือนชานหรือระเบียงด้วยเสมอ ซึ่งที่นี่ก็ทำระเบียงได้อย่างน่ารัก น่านั่งจริงๆ
จากห้องพักแสนสบาย ผมขอพาเพื่อนๆไปดูอีกหนึ่งจุดที่ตกแต่งได้งดงามไม่แพ้จุดอื่นๆในโรงแรมแห่งนี้เลยครับ จุดนี้คือ นคราสปา
นคราสปา เป็นจุดที่ใช้ลูกเล่นของสีเอิร์ทโทนเข้ามาตัดกับสีขาวมากที่สุดของโรงแรมแล้วครับ
ทำให้ความรู้สึกที่นี่ดูอบอุ่นและมีสีสันมากกว่าในจุดอื่นๆ การตกแต่งหลักยังคงเน้นที่ความหวาน อ้อนช้อยงดงาม
ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบว่าที่นี่คือคุ้มหลวง ห้องนี้แหละครับ เหมาะจะเป็นห้องของจ้าวนางน้อยที่สุดแล้วครับ
มาจบไดอารี่หน้านี้กับ ห้องอาหารหนึ่งเดียวของที่นี่กันดีกว่า เนื่องด้วยห้องพักมีจำนวนไม่มากนัก ห้องอาหารของที่นี่จึงมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก
ผมขอพาชมบรรยากาศของอาหารเช้ากันก่อนแล้วกันนะครับ
ถึงแม้ห้องพักจะมีไม่กี่ห้องแต่ทางโรงแรมก็เลือกให้มีไลน์บุฟเฟ่ต์แบบจัดเต็มไม่ให้น้อยหน้าโรงแรมไหนๆ เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้แขกที่มาพักได้มีโอกาสเลือกทานสิ่งที่ชอบได้อย่างอิสระ
ส่วนอาหารจานหลักโรงแรมเลือกที่จะให้แขกสั่งเป็นแบบจานแทน โดยให้เหตุผลว่า การทำทิ้งไว้รสชาติอาหารมันจะเปลี่ยนไป ทางโรงแรมอยากให้แขกได้ทานอาหารที่สดใหม่และปรุงอย่างพิถิพิถันให้แขกทุกจาน เมนูแนะนำสำหรับมื้อเช้าที่นี่ ก็หนีไม่พ้นเสนห์ของอาหารเช้าแบบไทยๆ ข้าวเหนียวหมูปิ้งแบบภาคกลาง ข้าวเหนียว ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม อาหารเช้าแบบฉบับชาวล้านนา หรือจะเป็นข้าวต้มร้อนๆกับเครื่องเคียง ในแบบฉบับอาหารเช้าของชาวไทยสมัยก่อน
ป.ล. แอบประทับใจผลไม้ในไลน์บุฟเฟ่ต์มากครับเพราะเล่นแกะสลักมาเสริฟกันเลยครับ ความรู้สึกประหนึ่งเป็นคุณชายคนที่ 6 ของวังจุฑาเทพก็ไม่ปาน
สำหรับแขกแก้วที่ไม่นิยมอาหารไทย ทางโรงแรมมีเมนูคุณภาพแบบสากลไว้ต้อนรับอยู่แล้วครับ
และนี่คืออีกหนึ่งความประทับใจ โยเกิร์ตที่ทางโรงแรมเลือกใช้ เลือกใช้โยเกิร์ตเกรดพรีเมี่ยมของบ้านเราครับ ผมถามเหตุผลว่าทำมั้ยถึงเลือกใช้ยี่ห้อนี้เพราะราคาค่อนข้างแพงทีเดียว ทางโรงแรมบอกว่านอกจากจะรสชาติจะดีแล้ว ทางโรงแรมค่อนข้างมั่นใจว่า โยเกิร์ตยี่ห้อนี้ไม่มีส่วนผสมของแป้งครับ ทางโรงแรมทดสอบมาแล้ว ทางโรงแรมอยากให้แขกแก้วรับรู้ว่า ทางโรงแรมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แขกแก้วเสมอครับ
ส่วนมื้ออื่น บรรยากาศห้องอาหารก็ถูกปรับเปลี่ยนอารมณ์ไปบ้าง ยิ่งช่วงหัวค่ำ ที่นี่งดงามมากเลยครับ
ส่วนอาหารมื้ออื่นๆที่ลองเทสมา อาหารที่เป็นเมนูแนะนำส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารไทยครับ รสชาติอาหารออกไปทางจดจ้านแบบไทยๆหน่อย แต่ไม่ได้มากมายนะครับ เพราะแขกส่วนใหญ่คือชาวต่างชาติ ทางโรงแรมเลยต้องคุมรสชาติให้ชาวต่างชาติทานได้ด้วย ถ้าต้องการรสชาติไทนแท้ๆ บอกทางเชฟได้ครับ ทางด้านราคา ก็ไม่ได้โหดร้ายจนจับไม่ได้ ราคาเริ่มต้นที่ 100 กว่าบาท จายเด็ดที่ผมแนะนำคือ ปลาทับทินึ่งทานกับผักสดและน้ำพริกหนุ่มจานใหญ่ทีเดียว 300 กว่าบาท ครับ
ส่วน เซ็ตขนมน้ำชายามบ่าย ของที่นี่ก็ยังรักษาคอนเซ็ปความเป็นไทยแบบไม่มีหลุด สังเกตได้จากออเดริฟแบบไทยๆ ขนมกลีบลำดวน ฝอยทองกรอบ เป็นต้น
ส่วนเครื่องดื่มแนะนำก็จะเป็นน้ำผลไม้ตามฤดูกาล และ เครื่องดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ
ปิดท้าย หน้าท้ายสุด ของไดอารี่ด้วยรางวัลมากมาย ที่เป็นเครื่องยืนยันว่า ทั้งหมดที่นายพัก…สบายเพ้อเจ้อมานี้ คงไม่ได้มนม มโนไปเองล่ะเน้อ
สรุปปิดท้ายกันสักนิด
ในความรู้สึกผม ผมว่า โรงแรมแห่งนี้พยายามที่จะดึงความงดงามแห่งความเป็นไทยในอดีตให้กลับคืนมาให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่จะแค่เพียงสถาปัตยกรรมที่งดงามเท่านั้น แต่รวมไปถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่มีเสน่ห์ การเอาใจใส่แขกผู้มาเยือนในแบบฉบับของไทยแท้ ไปเชียงใหม่มาก็หลายครั้ง หลายครา แต่ก็มีไม่กี่โรงแรมหรอกครับที่นี่ทำให้ผมสัมผัสกับคำนี้ได้จริงๆ “ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน”
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Bangkok Airway ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ TBA สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากการลองใช้สายการบินนี้ รู้สึกได้ถึงคอนเซ็ปของสายการบินนี้ไม่ต่างจากโรงแรมปิงนคราไปเลยครับ การบริการด้วยหัวใจของความเป็นไทยแท้ๆคือเสน่ห์ของสายการบินนี้ครับ ประทับใจกับสายการบินของพี่นางฟ้ามากครับ
ของฝากท้ายรีวิว
ถ้าจะให้พูดกันจริงๆแล้ว ความงดงามของศิลปะสไตล์โคโรเนียลที่มีกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมล้านนาที่เป็นของแท้ๆของโบราณก็ยังพอมีเหลือให้เห็นอยู่บ้างนะ ยังมีแอบกระจายตามจังหวัดทางภาคเหนือ ไม่ว่าจะที่ลำปาง หรือที่จังหวัดแพร่ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเจ้าใหญ่นายโต ราชวงศ์ หรือเศรษฐี พ่อเลี้ยงในสมัยก่อนครับที่จะสามารถปลุกบ้านแบบนี้ได้ อย่างในภาพ คือ “บ้านวงศ์บุรี” จากจังหวัดแพร่ (บ้านหลังนี้เคยใช้ถ่ายละครเรื่องรอยไหม) ตัวอย่างอันแสนงดงามจากอดีตที่ผ่านกาลเวลามาถึงปัจจุบัน