รีวิว The Siam Bangkok

Advertisement
รีวิว โรงแรม เดอะ สยาม กรุงเทพ

อะไรบ้างเอ่ยที่สื่อถึงความเป็นไทย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ ม๊อบ เสื้อแดง เสื้อเหลือง ปิดถนน ออกไปๆๆๆๆ ปี้ดๆๆๆๆๆ อุ๊บ!!! เริ่มนอกเรื่องล่ะ 55555 คำว่า “ความเป็นไทย” บางทีก็อาจไม่จำเป็นไม่ได้มีคำจำกัดความอยู่แค่นั้นนะครับ วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆมารู้จักโรงแรมใหม่แหวกแนว ที่ให้คำจำกัดความของ “สยามประเทศ” ผ่านประวัติศาสตร์ของประเทศสยาม  มาครับ มากับผม ผมจะพาไปชมโรงแรมแห่งสยามประเทศ แห่งนี้กัน แล้วคุณจะรู้จักสยามประเทศมากกว่าที่คุณเคยรู้

มามะ มามะ เดินมากันมาเร็ว เรามาพูดึงภายนอกของโรงแรมกันก่อนดีกว่า ตัวของโรงแรมแห่งนี้ถูกวางไว้ด้วยธีมสีขาวและดำทั้งโรงแรมเลยครับ พื้นที่ในลอบบี้เปิดโล่งตามประสารีสอร์ท (เอาใจฝรั่ง โอเพ่นแอร์ ร้อนได้อีก) ทุกจุดของโรงแรมจะถูกแทรกด้วย ของตกแต่ง ของสะสมของคุณน้อยและตระกูสุโกศลครับ (ของสะสมเหล่านี้แหละครับมที่จะเป็นตัวบอกเรื่องราวต่างๆของสยามประเทศให้เราได้รับรู้)

กระจกทรงข้าวหลามตัดเป็นตัวแทนความเป็นไทย เห็นแล้วก็นึกถึงกระจกสีตามวัดวาอาราม

หลายๆจุดในโรงแรมเลือกที่จะใช้สัญลักษณ์ในการสื่อสารถึงความเป็นไปในสถานที่นั้นๆ แทนคำพูด อย่างจุดนี้ ทางไปลานจอดรถครับ

ที่ลอบบี้จะมีห้องน้ำชาอยู่หนึ่งห้องอาหารครับ ห้องอาหารนี้ชื่อว่า คาเฟ่ชา บรรยากาศก็เน้นตามสไตล์รีสอร์ท โอเพ่นแอร์อีกตามเคย

แต่ยังดีหน่อย ถ้าใครมาร้อนๆ ที่นี่ก็มีห้องแอร์ไว้รองรับคนไทยขี้ร้อนด้วยครับ

ของขึ้นชื่อของคาเฟ่ชา คงหนีไม่พ้น อาฟเตอร์นูนที(ชุดน้ำชายามบ่าย)เซ็ตนี้นั้นแหละครับ ในเซ็ตจะเลือกเป็นชาเย็นหรือชาร้อนก็ได้ ตามใจปราถนา

พูดถึงการทานอาฟเตอร์นูนทกันแบบทางการสักนิดดีกว่า ชั้นไหนควรกินอะไรก่อน ชั้นบนสุดเป็นขนมหวานแสนอร่อย เหมาะจะทานเป็นชั้นสุดท้าย มาการองที่นี่รสชาติใช้ได้เลยนะครับ คัพเค้ก(เท่าที่ชิมดูมันคล้ายมัฟฟินมากกว่า) ชิมรสสตรอเบอรี่ไป อร่อยอยู่นะ ครีมหอมสตรอเบอรี่ ทาร์ตชอคโกแลตแอบหวานไปนะ ขอบอกเลย ฟรุ๊ตเค้ก อืมมม ผมว่าแป้งมันเยอะไปหน่อย ไม่ชอบอ่ะ

ชั้นที่สอง โดยรวมคือคีชแฮมกับเบค่อน บิยอส (ขนมปังเนยที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีของขนมปังหวาน)  มินิเบอร์เกอร์สอดไส้สลัดไข่ แฮม และเมล็ดมัสตาร์ด แซลม่อมรมควันและผักโขมแอนด์ แซนวิชแตงกวา ชั้นนี้ก็ต้องรีบทานก่อนชั้นบนเพราะถ้าโดนลมไปนานๆเข้าขนมจะชืดแข็งได้ รสชาติโดยรวม ไม่ได้อร่อย ว้าวอะไรมากมาย

สโคนคือขนมที่ต้องรีบทานตอนมาเสริฟใหม่ๆ เพราะถ้าไม่กินตอนร้อนๆมาใหม่ๆ ความอร่อยของสโคนจะลดลง 79.90% กันเลยทีเดียว

ป.ล. สโคนที่นี่เป็นแบบดั้งเดิมด้วยครับ

จัดขนมกันเบาๆไปล่ะ  เราเข้าไปสำรวจโรงแรมกันต่อดีกว่ามีอะไรน่าสนใจกันบ้างล่ะเนี้ยะ

ภายในโรงแรมค่อนข้างโอ่โทง และเชื่อว่าการตกแต่งของโรงแรมแห่งนี้ถือเป็นโรงแรมที่มีไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ใช้คอนเซ็ปเรือนกระจกมาใช้ในการตกแต่ง

อาคารภายนอกค่อนข้างสวยสะดุด ด้วยธีมการตกแต่งขาวและดำ รูปทรงประหนึ่งทรานฟอร์เมอร์ (จะแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้มั้ยเนี้ยะ)


เนื่องจากหลังคาของอาคารเป็นเรือนกระจก ผมว่าความสวยของอาคารจะปรับเปลี่ยนไปตามเวลาที่แสงและเงาทอดลงมาตามช่วงเวลาต่างๆ

สวนลอยฟ้า ( English Garden) ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจไม่แพ้จุดไหนๆของโรงแรมเลย ให้บรรยากาศเหมือนสวนป่าเรือนกระจก

ภายในรอบๆภายในอาคารของโรงแรม จะมีการโชว์ของสะสมมากมายหลากหลายอย่าง แต่ล่ะอย่างก็ดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ใครชอบของเก่าๆน่าจะปลื้มที่นี่ได้ไม่ยากนะ

จุดนี้จะมีของสะสมประเภทเครื่องลายคราม เครื่องปั้นดินเผา อย่างในตู้โชว์ก็จะมีเครื่องปั้นดินเผาของสมัยบ้านเชียง ของจังหวัดอุดรธานีด้วยครับ แอบมีหลายชิ้นที่มาจากราชวงศ์จีนด้วย

ห้องสมุด ที่จุดนี้ของตกแต่งจะเป็นหนังสือหายากของเมืองไทยครับ นอกจากเราจะมานั่งอ่านหนังสือแล้ว ที่นี่ยังมีเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ไว้บริการด้วยครับ

ด้านในสุดจะเป็นมินิเธียร์เตอร์ขนาดย่อมๆ ใครสนใจจะดูหนัง สามารถจองห้องมินิเธียร์เตอร์นี้เป็นส่วนตัวได้เลย ของตกแต่งในห้องนี้ นอกจากข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับภาพยนต์มากมายแล้ว ก็จะมีตั๋วหนังจากโรงภาพยนต์ในยุคต่างๆของไทย ใส่กรอบโชว์ไว้ด้วย

เราไปดูทางห้องฟิตเนสกันบ้างดีกว่า อีกหนึ่งมุมพักผ่อนที่อยู่หน้าห้องฟิตเนส

ด้านหน้าห้องฟิตเนสจะมีของสะสมและเรื่องราวของประวัติศาสตร์การกีฬาไทย

ภายในฟิตเนส อุปกรณ์ในห้องค่อนข้างทันสมัยทีเดียว

ถ้าพูดถึงกีฬาอันดับหนึ่งของเมืองไทย คงไหนีไม่พ้นมวยไทย (ดังขนาดขนาดบอลไทยยังจะไปมวยโลกกันเลยทีเดียว) ที่นี่จึงยกเวทีมวยจริงๆ ขึ้นมาตั้งไว้เลยครับ เราสามารถเรียนมวยกับเทรนเนอร์ก้ามปู หรือ จะขอเรียนกับนักมวยจริงๆจากเวทีมวยราชดำเนินก็ได้ด้วย (อันนี้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม)

ในส่วนนี้คือในส่วนของสปา Opium Spa ที่นี่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ sodashi จากประเทศออสเตรเรียครับ sodashiเป็นผลิตภัณฑ์สปาเกรด A ที่เขาบอกว่าค่อนข้างที่จะบริสุทธิ สกัดจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีเจือปน เหมาะสำหรับคนแพ้ง่ายครับ

ทรีดเมนท์พิเศษของที่นี่คือ มวยไทยซิกเนเจอร์ครับ การนวดประเภทนี้คือการนวดแบบสวีดิสหรือการนวดน้ำมันผสมกับการนวดไทย ที่ใช้ท่ามวยไทยเข้ามาประกอบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ศอก หรือ หมัด ในการนวด การนวดจะเริ่มต้นด้วยการนวดแบบไทยก่อน แล้วค่อยผสมกลมกลืนท่าทางต่างๆจนกลายเป็นการนวดน้ำมันแบบสวีดิส  จากที่ได้ลองมาแล้ว นอกจากนวดดีแล้ว ที่ชอบที่สุด คงเป็นการที่ได้สูดกลิ่นอโรม่ากลิ่นโปรด ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และก่อนจบทรี้ดเม้นท์ครับ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

เราไปชมบรรยากาศ รอบๆสปากันดีกว่า

ห้องนี้คือห้องเสริมสวยครับ ออกแบบได้เก๋ไม่ซ้ำใครทีเดียว แต่ในความรู้สึกผม ผมว่ามันดูแอบมืดไปหน่อยนะครับ ผมชอบร้านตัดผมสว่างๆ

ห้องนี้ห้องทำเล็บครับ

ระหว่างรอ หรือ หลังจากเสร็จทรีทเม้นท์เราสามารถเข้ามาพักผ่อนที่ห้องนี้ได้ครับ การตกแต่งคล้าย Hammam ที่ประเทศตุรกี ห้องนี้คือห้องรีแลกซ์ของที่นี่ครับ

ในอาคารเรือนกระจก ก็จะมีประมาณนี้ เดี๋ยวเราออกไปเที่ยวด้านนอกในส่วนริมแม่น้ำกันบ้างดีกว่า

พื้นที่ส่วนริมน้ำ หลักๆจะเป็นห้องอาหารครับ ห้องนี้คือ Deco Bar & Bistro สำหรับผมห้องนี้คือตัวแทน ของไนท์คลับในยุค 70-80 ที่เป็นที่ยิมยมในสมัยนั้น

ด้านบนของห้องอาหารจะชื่อ Deco Bar ชมบรรยากาศติสแตกมากกกกก

ห้องน้ำ ยังติสแตกอลังได้อีกเนอะ

ห้องอาหารนี้เสริฟอาหารเช้าด้วยครับ อาหารเช้าของที่นี่จะเป็นบุฟเฟ่แบบอลาคาร์ต สั่งเป็นจานๆกี่จานก็กินได้ ถ้ากินหมดนะ แต่ที่ประทับใจผมคือเครื่องดื่มสำหรับมือเช้า เพราะมีหลายตัวเป็นเครื่องดื่มในเมนูปกติเลยครับ

อันนี้สำหรับคนชอบเพรสตี้ เบเกอรี่ ต้องสั่งเมนูนี้ครับ เบเกอรี่บ๊อกซ์

อันนี้ แซลม่อน เบเกิ้ล เมนูนี้มีดีที่แซลม่อนรมควัน  และผักสดออแกนนิคแสนอร่อย ใครรักสุขภาพแนะนำเมนูนี้ ส่วนขนมปังเบเกิ้ลใหญ่มากกก ถือว่าเอามาแกล้มกับผักกับแซลม่อนล่ะกัน กินขนมปังหมดนี่อ้วนกันพอดี

วัฟเฟิล ข้าวโพด และ มะพร้าว โดยรวมผมค่อนข้างเฉยๆกับเมนูนี้นะครับ ชอบวัลเฟิลแบบยามาซากิมากกว่าอ่ะ ยังไม่มีโรงแรมไหนทำแบบนั้นสักที่เลย

ส่วนมื้ออื่นๆ อาหารที่นี่จะเสริฟเป็นอาหารนานาชาติ หลากหลายเมนู แต่เท่าที่ได้ชิมมาเป็นอาหารอิตตาเลี่ยน ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 300 บาท ผมแนะนำพิซซ่า กับข้าวรีซอตโต้ครับ

ส่วนห้องอาหารที่อยู่ถัดไปติดริมน้ำคือห้องอาหารไทย ช้อน ที่นี่คือตัวแทนของเมืองไทยสมัยอยุธยา เพราะตัวเรือนของห้องอาหารนั้นได้นำมาจากบ้านเรือนไทยในอยุธยาจริงๆ (บ้านจิมทอมป์สัน อายุกว่าร้อยปี)

บรรยากาศ แบบทานอาหารในห้องครัวแบบไทยๆ อารมณ์เชฟเทเบิ้ล (ห้องนี้เฉพาะลูกค้าที่พักในโรงแรมเท่านั้น)

ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องอาหารส่วนตัว และห้องอาหารไทยในห้องแอร์ครับ

ชั้นล่าง ทนร้อนกันไป สำหรับคนไทยอาจไม่ค่อยปลื้มโซนนี้ ขอนั่งห้องแอร์ดีกว่า

บริเวณริมน้ำ ถ้ามีลูกค้ามาใช้บริการเยอะ หรือมีกิจกรรมพิเศษ ก็จะมีการจัดโต๊ะเพิ่มในจุดนี้ด้วยครับ

มีโอกาสได้ชิมมื้อค่ำของที่นี่ ก่อนเริ่มอาหารมื้อค่ำที่นี่จะเสริฟของว่างก่อนครับ (ฟรี) วันที่ไปเป็นม้าฮ่อครับ

สำหรับผมแล้ว เมนูเด็ดของที่นี่คือ แกงปูใบชะพูล

อันนี้ไก่ย่างสมุนไพรเนื้อนุ่ม เป็นอีกเมนูที่ลูกค้าที่นี่ชอบสั่ง

ยำมะม่วงปูนิ่ม รสจัดจ้านน เป็นอีกเมนูไม่ไม่น่าพลาด

กุ้งแม่น้ำผัดพริกขิง อร่อยมากครับ รสไทยเลยนะจานนี้

เมนูสุดท้าย กระเพราปลาหมึก ที่สุดสำหรับผมเลย เมนูดูธรรมดา แต่ที่นี่ทำได้อร่อยมากกก โดนใจผมมากกก เพราะฉะนั้น นายพัก..สบายจึงขอมอบใบนเกียรติคุณให้กับเมนู…. หา อะไรนะ ไม่อยากได้เหรอใบเกียรติคุณของผม T__T

ถัดจากห้องอาหารช้อนไปสักนิดสักหน่อย จะเป็นส่วนของพูลบาร์ และ สระว่ายน้ำครับ

เอาไปชมกันเต็มๆเลยดีกว่า เช้า สาย บ่าย เย็น บรรยากาศสระว่ายน้ำเป็นยังไง จะได้เอาไปจิ้นกันถูก

เดินกันมานาน กินกันมาก็เยอะล่ะ  เราไปดูนั่งเล่นนอนเล่นกันในห้องห้องพักดีกว่า

Siam Suite

Siam Suite ห้องพักเริ่มต้นของที่นี่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ถึง 80 Sqm ธีมการตกแต่งของทุกห้องพักจะเหมือนๆกัน แต่จะแตกต่างกันด้วยของตกแต่งภายในห้องพัก ของตกแต่งภายในห้องพักคือของสะสมของคุณน้อย (วงพรู) ที่บ่งบอกประวัติศาสตร์ของสยามประเทศ

Siam Suites

Siam Suite

อย่างห้องที่ผมพักเป็นห้องนักรบ ของตกแต่งในห้องพักจะเป็นประวัติศาสตร์ของนักรบของประเทศไทย มีดาบนักรบสมัยรัชกาลที่ห้า รูปภาพการแต่งกายของนักรบและทหารของสยามประเทศนยุคต่างๆ วางโชว์อยู่ในตู้โชว์

อย่างการตกแต่งห้องเสด็จประพาสราษฎรในต่างจังหวัด ของตกแต่งในห้องก็จะเป็นจดหมายเหตุ และรูปภาพของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ห้า ครั้งสมัยเสด็จประพาสและร่วมเสวยกระยาหารกับประชาชนที่หาชมได้ยาก

ห้องน้ำภายในห้องพัก ค่อนข้างสวยทีเดียวครับ

อเมนนิตี้  จะให้เป็นแบบขวดแบบนี้ครับ ไม่ชอบเลย ชอบแบบจิ๊กกลับบ้านได้

Riverview Suite ห้องนี้คือห้องหัวมุมที่เห็นวิวแม่น้ำครับ มีพื้นที่ 110 Sqm การตกแต่งคอนเซ็ปจะเหมือนกับ Siam Suite  เช่น ธีม แม่น้ำ ช้าง หรือ นางสาวไทย แต่มีการจัดวางพื้นที่ใช้สอยที่ต่างกัน

Pool Villa มีพื้นที่ใช้สอยถึง 120 Sqm ถ้าถามผมว่าห้องพักที่สวยที่สุดของที่นี่คือห้องไหน ผมขอบอกเลยครับคือห้องพูลวิลล่า การตกแต่งมีสามแบบ แบบไทยโคโลเนียล แบบจีนโอเรียลทอล และแบบอาร์ต เดโค  ห้องในรูปจะเป็นแบบอาร์ต เดโคครับ

ห้องนั่งเล่นจะอยู่ด้านหน้าห้องพัก เป็นแบบโอเพ่นแอร์กับสระว่ายน้ำส่วนตัวครับ

ทุกวิลล่าจะมีบันได ขึ้นไปชมบรรยากาศ ด้านบนด้วยครับ

แขกที่มาพักกับทางโรงแรมทุกคน ก็จะได้สิทธิพิเศษ จะมีบัทเลอร์บริการส่วนตัว ที่ห้องพักด้วยครับ ใครจะทำอะไร เรียกหาบัทเลอร์ให้ช่วยเหลือได้ทันที

ปิดท้าย ส่วนสุดท้ายของรีสอร์ทแห่งนี้ที่นี่ ท่าเรือส่วนตัว  ครับ

ช่วงเย็น บรรยากาศดีมากกกกก เหมาะกับการมานั่งชิลล์ๆ ชมอาทิตย์อัสดง

ที่นี่บริการเรื่อรับส่งแขกที่มาพักฟรีด้วยครับ เราสามารถนั่งไปลงได้ทุกท่าเรือที่เราต้องการ

เราสามารถนั่งเรือออกไปเที่ยวไปหาอะไรทานก็ได้นะครับ ร้านที่ทางโรงแรมแนะนำคือ ร้านครัวอัปษร ที่เป็นร้านโปรดของสมเด็จพระพี่นางฯนั้นเอง จุดที่ลงคือท่าเรือวัดราชาครับ

เมนูที่น่าลองที่ผมแนะนำ คือ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายครับ แกงไม่ข้นจนเลี่ยน เนื้อปลากรายใช้ของเกรด AA เลยครับ

เมนูนี้ สุดยอดมากครับ สำหรับผม ผมจำได้ว่าน้าที่เสียไปทำให้ทานบ่อยมากๆๆ ตอนเด็กๆ กินแล้วก็นึกถึงความทรงจำดีๆที่ลืมเลือนไป

ปิดท้ายที่เมนูนี้ครับ เมนูที่พระพี่นางทรงโปรด ปูผัดพริกเหลือง ไม่มีข้อติสำหรับเมนูนี้ AAA ไปเลย กราบงามๆให้สามที

สรุปปิดท้ายกันสักนิด

สำหรับผมแล้ว ผมว่า The Siam คือโรงแรมที่บ่งบอกความเป็นประเทศสยามในรูปแบบที่ไม่ซ้ำใคร และไม่มีใครเหมือน และตีโจทย์ของสยามประเทศได้อย่างถึงแก่นจริงๆ  บรรยากาศฟีลลิ่งโดยรวมของโรงแรม ในทุกย่างก้าวให้ความรู้สึกเหมือนอาร์ทแกลลอรี่ หรือ มิวเซี่ยม ราคาห้องพักอาจดูสัมผัสยากกันไปสักนิดสำหรับคนไทย (จริงๆไม่นิดนะ เพราะตามเรทห้องพักเฉลี่ยแล้วที่นี่แพงกว่าโอเรียลเต็ลกรุงเทพอีกครับ) แต่ถ้าใครอยากลองสัมผัสกับที่นี่จริงๆ ผมแนะนำให้ลองมาทานอาหารดูสักมื้อครับ ราคาอาหารไม่ได้รุนแรงเกินไปกว่าโรงแรมห้าดาวโรงอื่นๆเลยนะ ผมแนะนำให้มาลองกระเพราปลาหมึกของที่นี่ครับ อร่อยแตกต่างจากร้านอื่นจริงๆ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบพระคุณ คุณน้อย(วงพรู) ที่เปิดบ้าน(โรงแรม) ต้อนรับเป็นอย่างดี ขอบคุณมากคร้าบบบบบบ

Leave a Reply